ทุกคนคงรู้กันดีว่าชาวญี่ปุ่นมีอายุยืน เพราะอะไร? วันนี้เราจะมาเปิดเผยเคล็ดไม่ลับข้อหนึ่งที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นมีอายุขัยยาวนานกัน
เพื่อให้ได้วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายตามธรรมชาติ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แนะนำให้เราควรบริโภคผักอย่างน้อย 400 กรัม/วัน อาจฟังดูไม่มาก แต่ความสม่ำเสมอคือหัวใจสำคัญ ร่างกายของเราจำเป็นต้องได้รับผักปริมาณนี้ทุกวันอย่างต่อเนื่อง
จากการสำรวจ อัตราการบริโภคผักในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2019 อยู่ที่ 280 กรัม ส่วนชาวไทยร้อยละ 75 กินผักและผลไม้ต่ำกว่าเกณฑ์ จะเห็นได้ว่า ในหนึ่งวันทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวไทยต่างก็ติดนิสัยบริโภคผักไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
และที่สำคัญ ผักแต่ละชนิดไม่ได้ให้คุณค่าทางสารอาหารต่อร่างกายเท่ากัน บางชนิดมีวิตามินซีสูง บางชนิดมีวิตามินเอสูง บางชนิดอุดมไปด้วยใยอาหาร ดังนั้น มันฝรั่ง 350 กรัมกับสลัดผัก 350 กรัมจึงให้สารอาหารที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้น การทานผักเพื่อสุขภาพจึงไม่ใช่แค่เพียงปริมาณผักเท่านั้นที่สำคัญ แต่ควรคำนึงถึงความหลากหลายของชนิดผักด้วย นี่จึงเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะการทำสลัดผักรับประทานทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางฤดูที่ไม่มีผักบางชนิดหรือผักบางอย่างขึ้นราคาสูง บทความนี้เราเลยจะมาพูดถึงทางออกที่ชาวญี่ปุ่นค้นพบเพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้กัน
เลือกอ่านจากหัวข้อที่คุณสนใจ
อาโอจิรุคืออะไร?
คุณอาจจะเลือกวิธีใดต่อไปนี้เพื่อรับมือกับการขาดสารอาหารจากผัก
1. ดื่มน้ำผักผลไม้
2. ทานมัลติวิตามิน : วิตามินคุณภาพสูงคือวิตามินที่ได้มาจากวัตถุดิบธรรมชาติดั้งเดิม ซึ่งผ่านกระบวนการจัดการด้วยความร้อนน้อยที่สุด ไม่ใส่สารกันบูดและสารปรุงแต่งในอาหารอื่นๆ คุณสามารถหาซื้อวิตามินดังกล่าวได้แต่ค่อนข้างราคาแพง ส่วนวิตามินราคาถูกคือวิตามินที่ได้มาจากการสังเคราะห์ทางเคมี ซึ่งไม่ได้ดีต่อสุขภาพของเราเสมอไป นอกจากนั้น แม้แต่วิตามินราคาแพงก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนผักได้อย่างครบถ้วน เพราะไม่มีใยอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานอย่างราบรื่นของลำไส้เรานั่นเอง
ชาวญี่ปุ่นได้ค้นพบทางออกสำหรับปัญหานี้ นั่นก็คือ Aojiru (อาโอจิรุ) ซึ่งเป็นคำภาษาญี่ปุ่นแปลว่า “น้ำ(ผัก)สีเขียว”
อาโอจิรุ คือน้ำผักที่แรกเริ่มเดิมทีสกัดมาจากเคลกับบาร์เลย์ มีประโยชน์หลัก 3 ประการ คือ ราคาสบายกระเป๋า, ดื่มง่าย และช่วยแก้ปัญหาร่างกายขาดแคลนสารอาหารต่างๆจากผักได้
ต้นกำเนิดอาโอจิรุ
อาโอจิรุถือกำเนิดขึ้นจาก เอนโด นิโร่ นายแพทย์จากจังหวัดโอคายาม่า คุณหมอท่านนี้มีอายุยืนมาก เขาเกิดในปี 1900 และเสียชีวิตในปี 1997 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดภาวะขาดแคลนอาหาร ศาสตราจารย์เอนโดจึงต้องหิวโหยเช่นเดียวกับชาวญี่ปุ่นคนอื่นๆ ในเวลานั้น ในขณะเดียวกัน เอนโดได้ปลูกไชเท้าญี่ปุ่นเอาไว้ แต่ไชเท้าเหล่านั้นต้องมอบไปเป็นเสบียงให้กับกองทัพ เหลือแค่ใบไชเท้าสำหรับศาสตราจารย์กับครอบครัว 4 คนของเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงมองหาวิธีรับประทานใบหัวไชเท้า
ความรู้ด้านการแพทย์ของหมอเอนโดมีประโยชน์ในเวลานี้เอง เขาทราบว่าวิตามินจะถูกทำลายด้วยกระบวนการที่ใช้ความร้อน เขาจึงจุ่มใบผักลงในน้ำร้อน 80 องศาเพียงแค่ 30 วินาที เพื่อขจัดกรดออกจากใบ หลังจากนั้นก็นำไปตากในที่ร่ม เขานำใบไชเท้าไปทอด ต้ม และใส่ในอาหารอื่นๆ ที่เขาหาได้ เมื่อประสบความสำเร็จกับการนำใบไชเท้ามาประกอบอาหาร ศาสตราจารย์จึงเริ่มนำใบพืชผักชนิดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น มันหวาน เผือก ถั่วเหลือง ถั่วลิสง บัตเตอร์เบอร์ญี่ปุ่น โกโบ มาทดลองทำด้วยวิธีเดียวกัน
ความตั้งใจดั้งเดิมของศาสตราจารย์คือเพื่อหาอาหารมาเลี้ยงครอบครัวให้มีชีวิตรอด อย่างไรก็ตาม เขาต้องประหลาดใจเมื่อสังเกตได้ว่าสุขภาพของเขาเองและคนในครอบครัวต่างก็ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ศาสตราจารย์เริ่มแนะนำให้เพื่อนบ้านของเขานำใบพืชผักมาทำแบบเดียวกับที่เขาลอง เพื่อนบ้านต่างก็ประทับใจในผลลัพธ์ หลังจากนั้นวิธีการดังกล่าวจึงได้ถูกนำมาทดสอบที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยซึ่งเอนโดเป็นอาจารย์สอนอยู่ และการทดสอบก็ประสบความสำเร็จ
ภายหลังเกิดเหตุการณ์ที่บังคับให้ศาสตราจารย์ต้องปรับปรุงสูตรดั้งเดิมของเขา เมื่อบุตรชายของเขาป่วยเป็นโรคปอดอักเสบ ในยุคสงครามเมื่อไม่มียาเพนนิซิลิน ศาสตราจารย์จำต้องหาวิธีนอกกรอบเพื่อรักษาบุตรชาย เอนโดรู้อยู่แล้วว่าการรับประทานผักสีเขียวนั้นช่วยได้ แต่เขาก็ต้องค้นหาบางสิ่งที่จะช่วยให้บุตรชายหายจากอาการป่วย ในตอนนั้นเองที่ศาสตราจารย์เกิดความสนใจในใบสีเขียวสดของมิตสึบะ (ผักชีญี่ปุ่น) ซึ่งงอกอยู่ใกล้บ้านของเขาราวกับวัชพืช เขาเด็ดมันมา ใช้ครกบด แล้วเอาน้ำผักมิตสึบะไปให้บุตรชายดื่ม โดยให้ดื่มทุกวัน วันละ 1-2 แก้ว
เด็กชายเริ่มดีขึ้นและหายป่วยในเวลาไม่นาน อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ยังไม่ทันมีเวลาให้พักหายใจ เมื่อภรรยาของเขากลับป่วยขึ้นมา เธอเริ่มมีอาการไตอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งเป็นโรคที่ในปัจจุบันนี้ยังรักษาได้ยาก
ศาสตราจารย์ยังคงเชื่อมั่นในพลังเยียวยาของพืชผักอีกครั้ง เขาเริ่มให้ภรรยาดื่มน้ำผักสีเขียวสดทุกวัน วันละ 1-2 หรือบางครั้งก็ 3 แก้ว หลังจากรักษาด้วยวิธีนี้อยู่ 2 เดือน ภรรยาของเขาก็มีอาการดีขึ้น และหายดีในไม่ช้า
ด้วยเหตุนั้นเอง เครื่องดื่มที่สกัดสดๆ จากใบผัก หรือที่เรียกว่า อาโอจิรุ (青汁) จึงถือกำเนิดขึ้น
นับตั้งแต่ปี 1943 ศาสตราจารย์เอนโดก็เริ่มโปรโมตอาโอจิรุอย่างแข็งขัน ตามคำแนะนำของเขา ทำให้มีการแจกจ่ายอาโอจิรุตามโรงเรียนและสถานพยาบาลต่างๆ ในจังหวัด หลังจากสงครามสิ้นสุด สมาคมเอนโด อาโอจิรุ ก็ก่อตั้งขึ้น ในปี 1961 ศาสตราจารย์ได้ตีพิมพ์หนังสือสรรพคุณของอาโอจิรุ แล้วผู้ที่ติดใจใน “น้ำผักเขียว” ก็เพิ่มมากขึ้นทุกปี จนในช่วงทศวรรษที่ 90 เมื่อคนญี่ปุ่นยุคเบบี้บูมถึงคราวเกษียณและเริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น ความนิยมของอาโอจิรุก็แพร่หลายไปทั่วประเทศ
โฆษณาอาโอจิรุในยุคนั้น นักแสดงชาวญี่ปุ่นชื่อดัง ยานะ โนบุโอะ ได้กล่าวว่า “อี๋ แหวะ! ไหนเอามาอีกซิ!”
ส่วนประกอบของอาโอจิรุและประโยชน์ต่อร่างกาย
เมื่อกลายเป็นที่แพร่หลาย งานวิจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติของอาโอจิรุก็เริ่มขึ้นอย่างจริงจัง มีการหาส่วนผสมที่มีคุณค่าทางอาหารและรสชาติเฉพาะตัวที่เด่นที่สุด ในสูตรดั้งเดิมศาสตราจารย์เอนโดเสนอให้ใช้แค่เคล เนื่องจากมันมีวิตามินและแร่ธาตุสูงมาก อย่างไรก็ตาม มีข้อเสียอย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือรสชาติที่ไม่น่าพิสมัย ตัวเลือกอีกอย่างหนึ่งก็คือต้นอ่อนบาร์เลย์ ซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการด้อยกว่าเคลเพียงเล็กน้อย แต่รสชาติอร่อยกว่ามาก ส่วนผสมซึ่งเป็นที่นิยมอีกอย่างก็คืออาชิตะบะ ซึ่งอุดมวิตามินและแร่ธาตุมากเช่นกัน เคล ต้นอ่อนบาร์เลย์ และอาชิตะบะจึงกลายเป็นส่วนผสมหลักของอาโอจิรุ บางครั้งก็ผลิตแยกชนิดกัน บางครั้งก็นำมาผสมกัน ผู้ผลิตหลายเจ้าได้ใส่สารสกัดจากผักผลไม้อื่นๆ เข้าไปด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติเครื่องดื่ม อาทิ แครอท พริกหวาน พาร์สลีย์ หน่อไม้ฝรั่ง สตรอว์เบอร์รี่ เป็นต้น
เคล
เคลเป็นญาติใกล้ชิดกับกะหล่ำป่าซึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปยุโรปใต้ ชาวฮอลันดาเป็นผู้นำเคลเข้ามายังประเทศญี่ปุ่นเมื่อราวๆ 300 ปีก่อน จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ชาวญี่ปุ่นไม่ได้มองว่าเคลเป็นผักแต่อย่างใด พวกเขาปลูกเคลเพียงเพื่อเป็นไม้ประดับเท่านั้น แต่ปัจจุบันเมื่ออาโอจิรุเฟื่องฟู เคลจึงถูกนำมาปลูกในแปลงผักทั่วประเทศญี่ปุ่น
เคลเป็นผักที่ปลูกง่าย เมล็ดจะถูกนำไปโรยในดินโดยตรงช่วงประมาณปลายเดือนเมษายน เคลค่อนข้างทนทานต่ออากาศหนาว มันจะงอกใน 3-4 วันและเติบโตอย่างรวดเร็ว มักรับประทานใบเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากก้านแข็งมาก
เคลอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย ที่ญี่ปุ่นเคลจึงได้ชื่อว่าเป็น “ราชินีแห่งผัก”
เคลมีกรดอะมิโน 25 ชนิด ซึ่งมี 9 ชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย
- วาลีน
- ฮิสทิดีน
- ลิวซีน
- ไลซีน
- ฟีนิลอะลานีน
- ทรีโอนีน
- ทริปโตเฟน
- เมไธโอนีน
- ไอโซลิวซีน
กรดอะมิโนที่พบในเคลนั้นถูกร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ง่ายกว่ามาก ซึ่งช่วยในด้านการสังเคราะห์โปรตีนของร่างกาย เคลจึงสามารถใช้เป็น “ผักที่ทดแทนเนื้อ” ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้รับประทานมังสวิรัติ
เคลยังมีแคลเซียม ซึ่งพบได้มากกว่าที่อยู่ในนมถึง 2 เท่า และมันยังเป็นแคลเซียมที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ดีกว่าแคลเซียมในนม 30% เนื่องจากมันมีวิตามินเค
ยิ่งไปกว่านั้น เคลยังมีสารประกอบแคโรทีนอยด์ ซึ่งก็คือเรตินอล ที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนให้เป็นวิตามินเอได้ เช่นเดียวกับลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งมีความสำคัญต่อสุขภาพดวงตา
เคลยังมีวิตามินซีสูงเทียบเท่ากับที่อยู่ในมะนาวหนึ่งผลอีกด้วย
คุณสมบัติต้านมะเร็งและต้านแบคทีเรียของเคลก็สำคัญเช่นกัน เคลมีซัลโฟราเฟนและอินโดล-3-คาร์บินอล ซึ่งนิยมใช้ในทางเภสัชวิทยาเพื่อการป้องกันมะเร็ง
กราฟด้านล่างนี้แสดงให้เห็นอัตราส่วนสารอาหารที่พบได้ในเคลเมื่อเปรียบเทียบกับผักชนิดอื่นๆ
เคลมีแคโรทีนอยด์มากกว่าพริกหยวก 7.2 เท่า มีวิตามินซีมากกว่าเกรปฟรุต 2.2 เท่า มีใยอาหารมากกว่าผักกาดหอม 3.3 เท่า มีแคลเซียมมากกว่านม 2 เท่า มีสารต้านอนุมูลอิสระในรูปโพลีฟีนอลมากกว่ามะเขือเทศ 4.5 เท่า มีลูทีนซึ่งสำคัญต่อดวงตามากกว่าผักโขม 2.1 เท่า
ใบบาร์เลย์อ่อน
ใบบาร์เลย์นั้นต่างจากเคล เนื่องจากใยอาหารปริมาณมหาศาลในใบดิบนั้นไม่สามารถย่อยในกระเพาะอาหารของมนุษย์ได้ น้ำอาโอจิรุจึงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เราได้สารอาหารจากใบบาร์เลย์ สำหรับการทำอาโอจิรุนั้น จะใช้ใบอ่อนของบาร์เลย์สดที่ยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตร
ใบบาร์เลย์มีวิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโนสูง เมื่อเปรียบเทียบกับเคลแล้ว ใบบาร์เลย์มีใยอาหารมากกว่า 12 เท่า มีวิตามินบี 9 (กรดโฟลิค) และโพแทสเซียมมากกว่า 5 เท่า อย่างไรก็ตาม ใบบาร์เลย์นั้นมีแคลเซียม วิตามินซี เบต้าแคโรทีน แมกนีเซียม วิตามินอี และลูทีนน้อยกว่า
คุณสมบัติของใบบาร์เลย์ที่โดดเด่นเห็นได้ชัดต่างจากพืชชนิดอื่นๆ ก็คือการมี SOD หรือเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยชะลออายุของร่างกายนั่นเอง
ใบบาร์เลย์ยังช่วยลดความดันโลหิตและลดระดับคอเลสเตอรอล อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาโอจิรุที่สกัดจากใบบาร์เลย์ก็คือรสชาติของมัน น้ำใบบาร์เลย์นั้นรสชาติอร่อยกว่าน้ำเคลมาก
อาชิตะบะ
อาชิตะบะ ถูกใช้มาอย่างยาวนานในการรักษาโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และการขับสารพิษ เช่นเดียวกับที่ช่วยบำรุงร่างกายโดยรวม
สารสำคัญอันมีประโยชน์ซึ่งพบได้ในอาชิตะบะ
- แคโรทีนอยด์
- โพแทสเซียม
- วิตามินบี 1, บี 2, บี 6, บี 9, วิตามินอี และวิตามินเค
- ธาตุเหล็ก
- สังกะสี
- ฟอสฟอรัส
องค์ประกอบที่สำคัญเป็นพิเศษซึ่งพบได้ในอาชิตะบะก็คือชาลโคน ซึ่งเป็นโพลีฟีนอลชนิดหนึ่ง ชาลโคนนั้นมีอิทธิพลต่อการทำงานของเอนไซม์ ช่วยในการลดน้ำหนัก และยังช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งอีกด้วย
วิธีรับประทานอาโอจิรุอย่างถูกต้อง
ปกติแล้วอาโอจิรุในรูปแบบผงจะบรรจุอยู่ในซองเล็กๆ คุณเพียงแค่ต้องรับประทาน 1 ซองต่อวัน โดยไม่จำกัดช่วงเวลาในการรับประทาน
วิธีชง:
- เทอาโอจิรุผงลงในแก้ว
- เติมน้ำ น้ำผลไม้ หรือนม เพื่อให้ผงละลาย
โปรดจำไว้ว่าเราไม่สามารถละลายผงอาโอจิรุในน้ำเดือดหรือนำไปผสมกับชาได้ เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงจะลดทอนคุณค่าทางสารอาหารของอาโอจิรุ น้ำหรือนมที่นำมาผสมควรจะเย็นหรืออุ่นเพียงเล็กน้อย คุณอาจจะเติมน้ำผึ้งลงไปด้วยก็ได้
อาโอจิรุเป็นวิตามิน แร่ธาตุ และเอนไซม์บริสุทธิ์จากธรรมชาติ ดังนั้นจึงสามารถรับประทานได้ทุกวันทั้งเด็กและผู้ใหญ่
ควรเลือกอาโอจิรุแบบไหน?
- สิ่งสำคัญคือ ควรเลือกอาโอจิรุที่มีส่วนผสมของเคลหรือใบบาร์เลย์ โดยจะเลือกรสชาติใดก็ได้
- ราคาของอาโอจิรุแต่ละชนิดนั้นแตกต่างกันพอสมควร ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคาของอาโอจิรุ ก็คือแหล่งที่มาของวัตถุดิบ อาโอจิรุที่ผลิตจากวัตถุดิบในประเทศญี่ปุ่น 100% จะมีราคาแพงกว่า ปกติแล้วข้อมูลเหล่านี้จะระบุไว้แถวชื่อผลิตภัณฑ์หรือบนบรรจุภัณฑ์
คุณอาจจะเริ่มจาก เซตลองดื่มอาโอจิรุ ซึ่งประกอบด้วย เคล ใบบาร์เลย์ ผักโขม และชาเขียวมัทฉะ โดยหนึ่งกล่องบรรจุ 10 ซอง
ในแง่ราคาและคุณภาพ อาโอจิรุยี่ห้อที่คนนิยมที่สุดนั้นมาจากยาคูลท์ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่และมีชื่อเสียง โดยผลิตภัณฑ์จะใช้เพียงวัตถุดิบญี่ปุ่นแท้ๆ ซึ่งปลูกโดยไม่ใช้สารเคมีใดๆ
อาโอจิรุจากใบบาร์เลย์ บรรจุ 60 ซอง ราคาประมาณ 1,500 เยน
อาโอจิรุจากเคล บรรจุ 30 ซอง ราคาประมาณ 2,000 เยน
นอกจากนี้ คุณยังสามารถดูรายการผลิตภัณฑ์อาโอจิรุทั้งหมดได้จากเว็บช้อปปิ้งสินค้าญี่ปุ่นออนไลน์อย่าง Rakuten หรือ Amazon ซึ่งถ้าคุณสนใจตัวไหน สามารถกดสั่งซื้อได้เลยง่ายๆด้วย ZenMarket
ทิ้งท้าย
อาโอจิรุ คือน้ำผักสีเขียวซึ่งผลิตจากใบพืชผักที่อุดมวิตามินและแร่ธาตุต่างๆอย่างเคลและใบบาร์เลย์ หากคุณกำลังมองหาทางเลือกใหม่ๆ แทนการบริโภควิตามินซึ่งผลิตโดยกรรมวิธีทางเคมี หรือแทนสลัดผักที่อาจมีสารอาหารไม่ครบถ้วนแล้วละก็ อาจได้เวลาที่คุณจะลองวิธีที่ชาวญี่ปุ่นใช้กัน อย่างการดื่มอาโอจิรุเป็นประจำ
สั่งซื้ออาโอจิรุจากญี่ปุ่นได้ง่ายๆด้วย ZenMarket
อยากได้สินค้าจากญี่ปุ่น แต่ร้านนั้นไม่ส่งต่างประเทศ หรือไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่น
ไม่ต้องกังวล! เพราะ ZenMarket คือตัวแทนช้อปปิ้งที่จะช่วยคุณซื้อสินค้าใดๆก็ตามจากประเทศญี่ปุ่น
คุณสามารถเลือกช้อปสินค้าจากเว็บช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น Amazon Japan, Yahoo! Auctions, Yahoo Shopping และ Rakuten ได้อย่างง่ายดายในเว็บเดียว เพราะเว็บ ZenMarket ได้เชื่อมต่อกับเว็บเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว
หรือถ้าคุณต้องการซื้อสินค้าจากร้านค้าออนไลน์อื่นๆ วิธีการก็ไม่ยุ่งยาก แค่ก็อปปี้ลิงก์หน้าสินค้านั้นๆมาแปะที่เว็บ ZenMarket แล้วกดเพิ่มลงรถเข็นได้เลย!
สามารถอ่านขั้นตอนการใช้เว็บ ZenMarket สั่งซื้อสินค้าจากญี่ปุ่นอย่างละเอียดได้ที่นี่
-
ZenMarket เป็นบริษัทที่ก่อตั้งใน จ.โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่นในปี 2014 โดยเริ่มแรกได้ให้บริการรับซื้อสินค้าญี่ปุ่นและจัดส่งไปยังต่างประเทศไม่กี่ประเทศเท่านั้น ZenMarket ได้ขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วภายในเวลา 7 ปี ด้วยบริการที่ยอดเยี่ยม มีผู้ใช้ให้ความไว้วางใจกว่า 1 ล้านรายทั่วโลก ปัจจุบัน ZenMarket เปิดให้บริการมากกว่า 15 ภาษา
สามารถเช็ครีวิวของลูกค้าผู้ใช้บริการจากทั่วโลกได้ด้านล่าง
คุณยังสามารถอ่านรีวิวที่ลูกค้าส่งมาในเว็บได้ที่นี่
หรือจะเข้าไปดูช่องทางโซเชี่ยลของเรา และจากรีวิวใน Google
-
ค่าบริการของ ZenMarket นั้นเรียบง่ายและใช้เรทเดิมตลอด ไม่ว่าคุณจะซื้อสินค้าราคาถูกหรือแพงแค่ไหนก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการซื้อสินค้าราคา 1,000 เยน หรือสินค้าราคา 30,000 เยน เราคิดค่าบริการเท่ากันหมด เพียง 300 เยนต่อชิ้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตามราคาสินค้า
โปรดทราบว่าในค่าธรรมเนียม 300 เยน หรือประมาณ 100 บาทนี้ คุณจะได้รับบริการมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อพูดคุยกับร้านในญี่ปุ่นแทนคุณ, การดำเนินการสั่งซื้อสินค้า, ค่าธรรมเนียมการโอนเงินธนาคารในญี่ปุ่น(ถ้ามี), การแพ็คสินค้า อีกทั้งยังรวมถึงการจัดเก็บสินค้าในคลังสินค้าของเราฟรีถึง 45 วันและค่าประกันการจัดส่งอีกด้วย คุณสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมของ ZenMarket ได้ที่นี่
-
ปัจจุบันเว็บ ZenMarket เปิดให้บริการกว่า 15 ภาษา และสิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากบริการรับซื้อในประเทศญี่ปุ่นเจ้าอื่นๆคือ เรามีพนักงานชาวไทยที่จะคอยตอบคำถามและให้ความช่วยเหลือลูกค้าในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การช่วยตามหาสินค้าจากร้านญี่ปุ่น, การติดต่อร้านในญี่ปุ่น หรือปัญหาด้านอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการซื้อ โดยสามารถติดต่อได้จากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม, อีเมล และจากตัวเลือกข้อความในบัญชีผู้ใช้ของคุณ
-
อีกหนึ่งข้อดีของการสั่งสินค้ากับ ZenMarket คือ คุณสามารถเลือกวิธีส่งได้เอง เรามีตัวเลือกวิธีการจัดส่งที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นส่งทางไปรษณีย์ญี่ปุ่น (EMS, Avia Air Mail, SAL, ทางเรือ) หรือจะใช้บริการขนส่งด่วนเอกชน (UPS, FedEx, DHL, SF) ซึ่งเป็นบริการมาตรฐานและได้รับความเชื่อถือจากทั่วโลก นอกจากนี้ คุณยังสามารถเช็คค่าส่งล่วงหน้าเพื่อประมาณค่าใช้จ่ายได้ที่นี่อีกด้วย
-
คุณไม่ต้องกังวลว่าการซื้อของจากต่างประเทศ จะต้องใช้บัตรเครดิตหรือโอนเงินข้ามประเทศเท่านั้น เพราะที่ ZenMarket เรามีตัวเลือกการชำระเงินมากมาย ไม่ว่าจะเป็น PayPal, Wise หรือแม้แต่จ่ายด้วยคริปโต ทุกการชำระเงินถูกคำนวณอัตโนมัติภายในเว็บของเรา ทำให้คุณไม่ต้องคอยเช็คเรทเอง